ซากลูกแมมมอธ 3 หมื่นปี พบใต้ชั้นดินเยือกแข็งที่แคนาดา สภาพสมบูรณ์เหมือนยังมีชีวิตอยู่

OVERNMENT OF YUKON
คนงานเหมืองทองขุดพบซากลูกแมมมอธขนยาวโดยบังเอิญ

รัฐบาลท้องถิ่นของดินแดนยูคอน (Yukon) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศแคนาดา แถลงว่าได้ค้นพบซากลูกช้างแมมมอธขนยาว (woolly mammoth) อายุเก่าแก่กว่า 30,000 ปี ใต้ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวหรือเพอร์มาฟรอสต์ (permafrost) ซึ่งช่วยรักษาร่างของมันไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย

คนงานของเหมืองทองแห่งหนึ่งเป็นผู้ค้นพบซากลูกแมมมอธดังกล่าว ขณะที่รถตักดินบังเอิญไปกระทบเข้ากับวัตถุบางอย่างในโคลน และเมื่อพวกเขาพบว่ามันคือซากช้างดึกดำบรรพ์ เหล่าคนงานเหมืองและทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มาตรวจสอบต้องตกตะลึง เนื่องจากโครงร่างและผิวหนังเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เสมือนกับว่ามันยังมีชีวิตอยู่ โดยยังคงมีขนและร่องรอยขีดข่วนที่เท้าปรากฏให้เห็นชัดเจน

ซากลูกช้างตัวเมียดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า “นุนโชกา” (Nun Cho Ga) ซึ่งแปลว่า “ลูกสัตว์ตัวใหญ่” ในภาษาของชนพื้นเมืองแถบลุ่มแม่น้ำยูคอน โดยทางการท้องถิ่นระบุว่ามันเป็นซากลูกแมมมอธขนยาวที่สมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ และมีขนาดตัวพอกับ “ลยูบา” (Lyuba) ซากลูกแมมมอธขนยาวอายุ 42,000 ปี ซึ่งค้นพบที่ไซบีเรียเมื่อปี 2007

GOVERNMENT OF YUKON
งวงและกล้ามเนื้อหลายส่วนของซากลูกแมมมอธหดลีบลง

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อปี 2021 ซึ่งวิเคราะห์ดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตโบราณที่หลงเหลืออยู่ในชั้นดินเยือกแข็งคงตัว พบว่าแมมมอธขนยาวมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับม้าป่า สิงโตถ้ำ และควายไบซันยักษ์ ในทุ่งหญ้าสเตปป์ของภูมิภาคยูคอนมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง จนกระทั่งสูญพันธุ์ไปเมื่อราว 5,000 ปีก่อน โดยสาเหตุนั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่เพราะถูกมนุษย์ไล่ล่าจนสูญพันธุ์แต่อย่างใด

แมมมอธขนยาวตัวผู้มีความสูงราว 3.5 เมตร ส่วนตัวเมียเตี้ยกว่าเล็กน้อย งาที่โค้งงอนของมันมีความยาวสูงสุดถึง 5 เมตร ส่วนขนหนาใต้ท้องที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น มีความยาวได้ถึง 3 เมตรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามมันมีใบหูเล็กกว่าช้างในปัจจุบันมากและมีหางสั้น เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน

เนื่องจากแมมมอธมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับช้างในปัจจุบันมาก โดยมีดีเอ็นเอที่เหมือนกันถึง 99.4% นักวิทยาศาสตร์หลายคณะจึงมีความคิดที่จะทำให้พวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยใช้เทคนิคการโคลนหรือดัดแปลงพันธุกรรมหลากหลายวิธี แต่ยังไม่มีผู้ใดทำได้สำเร็จ

JAMES HAVENS

Leave a Reply